Friday, 17 May 2024
อีสานไทม์

เดินหน้าพัฒนาโคราช ‘เกษม ศุภรานนท์’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต1 พปชร. มั่นใจผลงานที่ผ่านมา พร้อมขอโอกาสกลับมาสานงานต่อ

 

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 เวลา 15.00 น. ที่ศาลาการเปรียญวัดบูรพ์ เขตเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา นายเกษม ศุภรานนท์ อดีต ส.ส. เขต 1 พื้นที่ ต.ในเมือง ต.หนองไผ่ล้อม และ ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางมาขอบคุณพร้อมปราศรัยนำเสนอผลงานที่ผ่านมา จากนั้นได้ชี้แจงนโยบาย พปชร. เพื่อเปิดรับฟังเสียงสะท้อนปัญหานำไปปรับปรุงให้ตอบโจทย์โดนใจพี่น้องประชาชน

 

นายเกษม ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 พปชร. เปิดเผยว่า มั่นใจผลงานในขณะทำหน้าที่เป็นตัวแทนในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือเยียวยาด้านสาธารณภัย ร่วมกับมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อการกุศล รวมทั้งผลักดันโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ลำตะคอง พลิกฟื้นวิถีชีวิตแห่งสายน้ำให้เหมือน “คลองชองเกชอน” ประเทศเกาหลีใต้ สามารถใช้ประโยชน์หลากหลาย

 

ทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแก้มลิง ป้องกันน้ำท่วมเขตเศรษฐกิจ ร่างกฎหมายแก้ไขช่วยเหลือเยียวยาข้าราชการครูที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่ง คสช. 19/2560 ให้คืนอำนาจกลับสู่ท้องถิ่น แก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งมีความคืบหน้า ครม.อนุมัติเป็นวันแมป เตรียมออกโฉนดที่ดินในเร็วๆนี้

 

ทั้งนี้มีแผนลงพื้นที่ปราศรัยให้ครบทั้ง 97 ชุมชน โดยชูนโยบายยกระดับคุณภาพบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปรับเป็น 700 บาท มีประกันชีวิต เพิ่มเบี้ยยังชีพสำหรับผู้สูงอายุแบบขั้นบันได ปรากฏได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี โดยต้องการคนโคราชแท้ ๆ ให้มีโอกาสกลับมาสานต่อพัฒนาอีกสมัย

 

ลุงป้อม เดินหน้าระบบเชื่อมโยง ฐานข้อมูลสวัสดิการของรัฐ

เมื่อ 24 มี.ค. 66 เวลา 10.00 น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบูรณาการเชื่อมโยงฐานข้อมูล ด้านสวัสดิการของรัฐ ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

 

ที่ประชุมได้รับทราบ การดำเนินการออกแบบ การเชื่อมโยงฐานข้อมูลด้านสวัสดิการของรัฐ และการดำเนินการเชื่อมโยงฐานข้อมูล ผ่านหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน รวมถึงข้อมูลบุคคลด้านอื่น ๆ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่อาศัย เป็นต้น และได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีการจัดทำ API เพื่อใช้ค้นหาข้อมูลสวัสดิการที่ได้มีการเชื่อมโยง และรวบรวมข้อมูลแล้ว สามารถค้นหาด้วยหมายเลขบัตรประชาชน และจัดทำ Dashboard เพื่อแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูล และแสดงความซ้ำซ้อนของสวัสดิการ และได้ทำการเชื่อมโยงฯ แล้วจำนวน 13 สวัสดิการ มีประชากรได้รับสิทธิ ถึง 19,348,391 ราย (27,923,508 สิทธิ) อาทิ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กองทุนคุ้มครองเด็ก เบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น

 

จากนั้น คณะกรรมการฯ ได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบการดำเนินการเชื่อมโยงฐานข้อมูลด้านสวัสดิการของรัฐในระยะต่อไป จำนวน 22 สวัสดิการ (เดิม 13 สวัสดิการ) และเห็นชอบการบริหารจัดการฐานข้อมูลด้านสวัสดิการของรัฐ โดยมีหน่วยงานหลักที่สำคัญ ได้แก่ ก. ดีอีเอส , สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)

 

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ ก. ดีอีเอส, กค., มท.และ พม.ให้เร่งรัดการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการฯ เพื่อให้ฐานข้อมูลสวัสดิการของรัฐ เป็นระบบเดียวกัน ครอบคลุมประชากรที่จะได้รับการช่วยเหลือทุกกลุ่มเป้าหมาย และตอบสนองความต้องการ การให้บริการประชาชนได้ อย่างสะดวกรวดเร็ว เข้าถึงได้ง่าย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ ตามนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาส และความเสมอภาค

"นายพิสิษฐ์ พิพัฒน์วิไลกุล" จัดได้ว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่ท้องถิ่นอุดรธานี

"นายพิสิษฐ์ พิพัฒน์วิไลกุล" จัดได้ว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่ท้องถิ่นอุดรธานี โดยเป็นบุตร เสี่ยต้อยติ่ง "สุวิทย์ พิพัฒน์วิไลกุล" ซึ่งลงทุนสร้างนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานีในวงเงินหลายหมื่นล้าน

 

ทำให้อุดรธานีมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้

ในแวดวงการเมือง "พิสิษฐ์ พิพัฒน์วิไลกุล" ได้รับการกล่าวขานในฐานะ "ทายาทบ้านต้อยติ่ง" หรือ คนบ้านใหญ่อุดรธานี

 

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น "อุดรธานี" ถือเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย โดยการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 อุดรธานีกำหนดให้มี ส.ส.8 คน ซึ่งพรรคเพื่อไทย กวาดมาได้ครบทั้ง 8 เขต 8 คน สำหรับการเลือกตั้ง66 แบ่งเขตใหม่มี ส.ส. 10 คน ซึ่งพรรคเพื่อไทยหมายมั่นปั้นมือกวาดแลนด์สไลด์ยกจังหวัด

 

สำหรับประวัติ "นายพิสิษฏ์ พิพัฒน์วิไลกุล" เบอร์ใหญ่อุดรธานีรายนี้ สำเร็จการศึกษา

 

-ปริญญาตรี บริหารธุรกิจ สาขาการเจรจาธุรกิจระหว่างประเทศไทย Teikyo , Tokyo (2522 )

-วิทยาลัยวิชาชีพ การค้าระหว่างประเทศ สาขาธุรกิจนำเข้าส่งออก Hana Gakuen ,Tokyo

-ประกาศนียบัตร โรงเรียสอนภาษาญี่ปุ่น TOPA21 (2545)

-มัธยมศึกษา Oversea family school ,Singapore (2543 )

 

ประสบการณ์ทำงาน

 

-มี.ค.2564 - ปัจจุบัน รองประธานหอการค้ จังหวัดอุดรธานี รุ่นที่ 19

-มี.ค.-ปัจจุบัน ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท ยูดี เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์โซลูชั่น จำกัด

-ธ.ค.2563 -ปัจจุบัน ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท ยูดีเอ็กซ์ จำกัด

-พ.ค.2563-ปัจจุบัน ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท อุดรโลจิสติกส์ปาร์ค จำกัด

-มี.ค.2563-ปัจจุบัน รองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี

-ก.พ. 2562-มี.ค.2564 กรรมการหอการค้าจังหวัดอุดรธานี

-ส.ค.2559 -ก.พ.2563 ผู้ก่อตั้งบริษัทและประธาน บริษัท ไทยโย เซย์กิ จำกัด (ปัจจุบันขาย)

-เม.ย.2557 -ธ.ค.2560 รองประธานสโมสรฟุตบอลอุดรธานี

-มี.ค.2556- ปัจจุบัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองอุตสาหกรรมอุดรธานี จำกัด

-ต.ค.2555 -ปัจจุบัน ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท เจ โคออร์ดิเนท จำกัด

-ก.ค.2552 -ก.ย.2555 เจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย บริษัท ASIA NISSAN จำกัด

ตำแหน่งทางการเมือง

-มิ.ย.2563 - ปัจจุบัน เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการต่างประเทศ

 

นายชัยวุฒิกล่าว

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่ลานตลาดนัดวันอาทิตย์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้กล่าวปราศรัยบนเวทีของพรรค พปชร.ว่า บางคน บางพรรคยังพูดถึงโครงการเก่าในอดีต

 

โดยไม่ดูบริบทการเมือง เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ผมลงพื้นที่สงสารพี่น้องประชาชน บางพรรคยังพูดถึงกองทุนหมู่บ้านนโยบายเมื่อ 20 ปีที่แล้วซึ่งที่ตนเองได้ลงพื้นที่นั้น ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกันมากจากกองทุนหมู่บ้าน พรรค พปชร.จะยกเลิกกองทุนหมู่บ้าน ประชาชนจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้

 

นายชัยวุฒิกล่าวต่อว่า เพราะเป็นกองทุนที่สร้างหนี้ให้กับประชาชน จะได้ไม่ต้องสร้างหนี้ให้กับประชาชน เราต้องมองอนาคต ต้องมองนโยบายของพรรคการเมืองที่ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ พร้อมมองว่ามีบางพรรคการเมืองได้คิดนโยบายที่ไกลเกินไป การเลือกตั้งนั้นให้มาเปลี่ยนรัฐบาล แต่อยากเปลี่ยนประเทศไทย คุณทำได้ไหม

 

“ถ้าคนเราเห็นว่าโลกที่เราอยู่มันไม่ดีและมีปัญหาแล้วอยากเปลี่ยนโลกนั้น มีแต่คนบ้าเท่านั้นเพราะโลกเปลี่ยนไม่ได้ แต่ทำให้โลกนี้ดีได้ โดยการตั้งใจทำความดี ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง แต่บางพรรคคิดไกลกว่านั้น ไกลแบบที่รู้ว่าคิดอะไร ไม่อยากเปลี่ยนรัฐบาล อยากเปลี่ยนอะไรวะ แล้วเรายอมให้มันเปลี่ยนไหม เขาปลุกระดม ให้ข้อมูลผิดๆ ทำให้คนแตกแยก ทะเลาะกัน ซึ่งนี่คือนโยบายสำคัญของพรรคพลังประชารัฐที่จะมาก้าวข้ามความขัดแย้ง” นายชัยวุฒิกล่าว

 

นายชัยวุฒิกล่าวด้วยว่า วันนี้ติดตามจากสื่อเห็นว่าโพลต่างๆ ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่รู้ว่าลืมใส่ หรือลุงป้อมไม่ได้จ่ายเงิน การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของพวกเรา

 

เพราะเรามีนโยบาย มีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และเขาก็จะผลักดันให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนำนโยบายต่างๆ มาทำประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่มีการสืบทอดอำนาจ ไม่มีการเอาเปรียบใคร ทุกอย่างเป็นไปตามประชาธิปไตย

 

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลเดินสายหาเสียงและพบปะสมาชิกของพรรคที่ร้านส่งสาร ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี

เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลเดินสายหาเสียงและพบปะสมาชิกของพรรคที่ร้านส่งสาร ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี จากนั้นได้ปราศรัยเปิดตัวผู้สมัครพรรคทั้ง 11 เขตของจังหวัด ที่ลานกิจกรรมถนนคนเดินริมแม่น้ำมูล เทศบาลนครอุบลราชธานี

 

นายธนาธรกล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาหนักของประเทศคือ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เราจึงเห็นถึงความยากลำบากของประชาชน คนจนเต็มประเทศไปหมด รวมทั้งปัญหาเรื่องประชาธิปไตย วิธีแก้ปัญหา ต้องสร้างรัฐสวัสดิการ แต่จะไม่ทำสวัสดิการแบบแยกส่วน ไม่ได้คิดนโยบายแบบแลกคะแนนเสียง

 

และต้องต่อสู้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยยกเลิกการผูกขาดสุรา ต้องให้ประชาชนเอาผลผลิตของตนเองมาผลิตสุราได้ ต้องกล้าสู้กับระบบผูกขาด เก็บภาษีคนรวยมาดูแลคนจน เพื่อเป็นการเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข ให้กับประชาชน

 

สำหรับพรรคก้าวไกล ที่ผ่านมา ยังไม่มี ส.ส.เขตในจังหวัดอุบลราชธานี มีเพียง ส.ส.บัญชีรายชื่อเพียงคนเดียวคือ นายคำพอง เทพาคำ แต่ก็เป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่ โดยการเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งขณะนั้น ใช้ชื่อพรรคว่า พรรคอนาคตใหม่ ผู้สมัครระดับเขตของพรรค มีคะแนนตามผู้สมัครพรรคอื่นเข้ามาเป็นระดับ 3 และ 4 เป็นส่วนใหญ่

 

ครั้งนี้ พรรคมีความหวังจะได้ผู้สมัครในระดับเขตที่มีคนรุ่นใหม่อาศัยอยู่มาก อาทิ เขตเลือกตั้งที่ 1 อำเภอเมือง และเขตเลือกตั้งที่ 4 อำเภอวารินชำราบ เพราะเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยและอยู่ในเขตเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น

 

"ชัยวุฒิ" ไม่สน "ทักษิณ" เผย พปชร. ก้าวข้ามความขัดแย้ง จึงขอเมินดราม่านี้

วันที่ 28 มี.ค.66 พรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกมาตอบโต้นายวิรัช รัตนเศรษฐ ผ่านทวิตเตอร์ว่า พรรคเพื่อไทยไม่โง่พอที่จะยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า พปชร.มีนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งและไม่ขัดแย้งกับทุกพรรค จึงไม่อยากตอบโต้เรื่องนี้ ซึ่งการทำงานในทางการเมืองมันก็ทำงานตามสถานการณ์ บางครั้งไม่ได้ฉลาดทุกครั้ง ต้องมีบางเรื่องที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน 

 

เมื่อถามว่า มองว่าการปรามาสครั้งนี้ ให้รอวันที่ผลการเลือกตั้งออกเลยใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิกล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นเรื่องของประชาชน ยืนยันว่า แต่ละพรรคต่อสู้กันเต็มที่ เสนอนโยบายและลงพื้นที่เข้าหาพี่น้องประชาชน ผู้สมัครแต่ละเขต แข่งกันเต็มที่ไม่มีการจับมือกัน หรือ ตกลงกันว่า ใครจะเป็นรัฐบาลหรือเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบประชาธิปไตย 

 

เมื่อถามว่า แสดงว่าไม่ปฏิเสธที่จะจับมือร่วมรัฐบาลกับใครใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิกล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐก้าวข้ามความขัดแย้ง ฉะนั้นไม่มีเงื่อนไขที่จะต้องขัดแย้งกัน อะไรที่เป็นประโยชน์หรือประชาชนยอมรับเราเราก็ทำงานร่วมกันได้อะไรที่เป็นความขัดแย้งหรือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ก้าวข้ามไป 

 

เมื่อถามว่า การที่อีกฝั่งพยายามปราศรัยว่า ไม่พร้อมจับมือเพราะกลัวเสียคะแนนใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิกล่าวว่า ไปถามอีกฝั่งจะดีกว่า แต่ละพรรคก็มีแนวคิดและนโยบาย จะมาตอบแทนกันไม่ได้ แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ขัดแย้งกับใคร และพลเอกประวิตรมีความประนีประนอมสูง มีเหตุมีผล อย่าเอาเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง หรือการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่บรรยากาศในขณะนี้ และเรานำเสนอนโยบายให้ประชาชน เสนอตัวผู้สมัครที่ประชาชนชอบ เอาคนเก่งๆ มาทำงานร่วมกัน ถ้าทุกคนตั้งใจทำความดีหรือได้คนดีๆ มาทำงานประเทศชาติก็เดินหน้าไปได้ หากมัวแต่แบ่งฝ่ายหรือทะเลาะกันประชาชนจะอยู่อย่างไรหมดเวลาทะเลาะกันแล้ว

 

ส่วนเรื่องโพลต่างๆ ยืนยันว่า ตนไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะหลายโพลก็ไม่ได้มีชื่อพลเอกประวิตร ในส่วนของพรรคประชารัฐมีการทำโพลอยู่ ก็มีคะแนนพอสมควรแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอันดับต้นๆ พลเอกประวิตร ต้องใช้เวลาในการหาเสียงอยู่ แต่ก็มีคะแนนนิยมพอสมควร และถึงไม่เป็นนายกในโพล ก็เป็นนายกในใจของประชาชนทุกคนอยู่แล้ว คงไม่ต้องปรับกลยุทธ์อะไรเราก็ทำของเราให้ดีที่สุด

เพิ่มค่าตอบแทนให้

วันที่ 28 มี.ค.2566 - นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ ซึ่งให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ตนได้ลงพื้นที่เปิดเวทีปราศรัยที่บ้านเวียงทอง อ.สูงเม่น และบ้านร้องเข็ม อ.ร้องกวาง จ.แพร่ ในนามกลุ่มรวมใจรักชาติ

 

ปรากฏว่าได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีมีคนมาฟังปราศรัยจุดละไม่ต่ำกว่า 2 พันคน เนื้อหาที่ปราศรัยคือ ชี้แจงแนวนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติให้ชาวบ้านรับทราบ ส่วนใหญ่ชาวบ้านชื่นชอบนโยบายของพรรคที่ประกาศออกมาทั้งที่ทำแล้วทำอยู่และทำต่อ

 

ทั้งนี้ ได้มีการชี้แจงการเพิ่มค่าตอบแทนให้ อสม.เป็น 2,000 บาท การเพิ่มค่าตอบแทนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล เพิ่มค่าตอบแทนให้ อบต. เทศบาล ทั้งหมดจะมีผลวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ได้ชี้แจงเรื่องบัตรประชารัฐ หรือที่ชาวบ้านเรียกบัตรลุงตู่ให้ชาวบ้านเข้าใจว่า ถ้าพรรครวมไทยสร้างชาติได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล คนที่มีบัตรลุงตู่จะมีรายได้แน่ ๆ เดือนละ 1,000 บาท และสามารถกู้ฉุกเฉินได้อีก 10,000 บาท แล้วนำไปผ่อนชำระกับธนาคารออมสิน

 

โดยไม่ต้องกังวลว่าเป็นหนี้ศูนย์ นโยบายนี้ชาวบ้านชอบมากส่วนใหญ่ที่มาฟังปราศรัยเห็นพ้องต้องกันจะเลือกผู้สมัครของพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อหนุนให้ลุงตู่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

 

นายยศวริศ กล่าวต่อว่า ขณะที่ประชาชนไม่ไว้เนื้อเชื่อใจพรรคนายทุน ซึ่งเป็นพรรคครอบครัว แต่พรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเฉพาะ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคนั้น ประชาชนไม่เคลือบแคลงสงสัยอะไรเลย และเชื่อมั่นในการทำงาน ด้าน พลเอกประยุทธ์ จันท์โอชา นายกรัฐมนตรี จากเป็นทหารมา ก็มาบริหารประเทศ 8 ปีที่ผ่านมา โดยที่ไม่มีสิ่งที่ด่างพร้อยในเรื่องของการทุจริต ประชาชนจับต้องได้ และเห็นแล้วว่าควรจะสนับสนุนลุงตู่ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป

 

“จากการลงพื้นที่ปราศรัยทุกเวที ประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี พรรคการเมืองอื่นประชาชน มองเป็นพรรคของครอบครัว เขายังไม่เชื่อไม่กล้าไว้วางใจ หลังเปิดตัวว่าที่ ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศก็มีคนพยายามโจมตีพรรครวมไทยสร้างชาติบนเวทีปราศรัยหาเสียงอย่างต่อเนื่อง แต่ของเราไม่เคยโจมตีใคร พูดแต่เรื่องนโยบายของพรรคที่ประชาชนได้ประโยชน์ ชาวบ้านเขาไม่ชอบการโจมตี เขาอยากให้สามัคคีกันเพื่อประเทศชาติจะได้เดินหน้าต่อไป” นายยศวริศ กล่าว

 

นายยศวริศ กล่าวว่า หลังจากนี้จะลงพื้นที่ถี่ขึ้น เป้าหมายคือ แพร่, อุตรดิตถ์, ขอนแก่น, มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ จะเปิดเวทีคู่ขนานกับของพรรครวมไทยสร้างชาติ กลุ่มรวมใจรักชาติของตนจะเป็นทหารราบทัพหน้าปูพรมปราศรัยเรียกน้ำย่อยไปก่อน รอทัพหลวงซึ่งเป็นของพรรคมาสมทบ ทัพหลวงจะมีทั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีหัวหน้าพรรค และผู้บริหารของพรรคตามมา ยิ่งใกล้เลือกตั้งกลุ่มรวมใจรักชาติจะลงพื้นทีถี่ขึ้นทุกวันเป้าหมายหลัก เพื่อสกัดแลนด์สไลด์ของบางพรรคให้ได้

 

ทีมเศรษฐกิจเขาดี บิ๊กป้อม ลั่น ทีมเศรษฐกิจเราดี ชูแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำได้ทันที

วันที่ 30 มีนาคม 2566  พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.และแกนนำภาคร่วมงานพร้อมเพรียง และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ  จัดกิจกรรม “เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัครสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมเปิดนโยบายพรรคพลังประชารัฐ”  ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่จะนำนโยบายของพรรคที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ผ่านกลไกนโยบายที่พรรคจะนำเสนอ ทั้งทางด้านสวัสดิการประชารัฐ สังคมประชารัฐ และเศรษฐกิจประชารัฐ ที่มีเป้าหมายให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน  มั่นใจได้ว่าทุกนโยบายพร้อมทำได้ทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล  ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ได้มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่ยั่งยืน

 

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวบนเวทีว่า สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านวันนี้ ผมรู้สึก อบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง การเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมแล้วที่จะเข้ามารับใช้ประชาชน ผมอยากจะสื่อสารให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทราบว่าคนไทยทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมชาติ ที่ผ่านมา ประเทศของเราพัฒนาได้ยาก เพราะความขัดแย้ง และความแตกแยก ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมใจกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยความรัก ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน

 

"ผมพร้อม ที่จะประสานประโยชน์ กับทุกฝ่ายพร้อมที่จะนำ ความรัก ความสามัคคีมาสู่ ประเทศชาติ ของเราคนไทย ต้องรักกันสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองให้กับ ประเทศชาติ และประชาชน เมื่อเราก้าวข้ามความขัดแย้งได้เราก็จะมีพลัง ที่จะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน"

 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พี่น้องครับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของท่านทั้งหลายที่จะให้พรรคใดมาบริหารประเทศ พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมายดังที่ได้รับชมในวีดิทัศน์ไป เมื่อสักครู่นี้แล้ว ทีมเศรษฐกิจของเราคิดไว้มากมาย การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าเราได้คะแนนมาเป็นที่หนึ่งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที ขับเคลื่อนนโยบายที่ทำไว้ ทั้งนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท ต่อเดือน การลดราคาน้ำมัน ลดราคาแก๊สและลดค่าไฟฟ้า การดูแลคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งเบี้ยประชาชน ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป มารดาที่ตั้งท้องตั้งแต่เดือนที่ 5 จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจนถึงวันคลอดและดูแล ทารกหลังคลอด จนถึง 6 ขวบ นโยบายในเรื่องน้ำ มีเราต้องไม่มีแล้ง โดยจะพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทานแก้ปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตรส่งเสริม ตนยืนยันว่ามีเราจะไม่มีแล้งอีกต่อไป ส่งเสริมสิทธิที่ดินทำกิน  มีเราต้องมีที่ดินทำกิน ถ้ามีที่ทำกินไม่มีจน จะก้าวข้ามความยากจนได้ เราจะแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน สร้างรายได้ยกระดับ การศึกษา เศรษฐกิจฐานรากภาคอุตสาหกรรม การคมนาคมและนโยบายอื่น ๆ อีกมากมาย

 

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกันปราบปรามและบำบัดฟื้นฟูอย่างจริงจังเราจะปราบปรามผู้มีอิทธิพล อาชญากรรมข้ามชาติการฉ้อโกงออนไลน์ แชร์ลูกโซ่ และหนี้นอกระบบ เราจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราคือครอบครัวเดียวกัน เราจะรักสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียว  “ขอให้เชื่อมั่นผม เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครฯ ทั้ง 400 เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ผมขอประกาศกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่าพวกเราทำได้ และพร้อมแล้วที่จะรับใช้ประชาชน พี่น้องครับวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. นี้โปรดกาบัตรเลือกพลังประชารัฐ ทั้ง 2 ใบ เลือกทั้งคน เลือกทั้งพรรค เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”พล.อ.ประวิตร กล่าว

 

นอกจากนี้ ภายในงานพรรคพลังประชารัฐ ได้นำเสนอคลิปวิดีโอเกี่ยวกับนโยบายที่จะมุ่งฟื้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย “นโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด” โดย “3 นโยบายเร่งด่วน”ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชน ผู้ประกอบการ ให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนด้วยวิธีใหม่ ควบคู่สร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที  2. ดูแลสวัสดิการ เสริมทักษะ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย 

 

และ “8 นโยบายเร่งรัด” วางรากฐานเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชนเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สู่เศรษฐกิจใหม่ในอุตสาหกรรม S-curve เพื่อขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจ BCG  3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์  ทั้ง อีอีซี และขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่  4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบทั้งถนน ราง น้ำ และอากาศ รวมถึงพัฒนาโครงเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ การต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งระดับปวช. ปวส. ให้เรียนฟรีมีงานทำ พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมแหล่งงาน เพื่อสร้างรายได้ระหว่างเรียน ส่วนแรงงานเดิมจะส่งเสริมเข้าโปรแกรมเพิ่มทักษะให้สอดรับกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่  6. ปฎิรูประบบราชการ แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ กระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น สู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ที่ตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด  และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชั่นเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่ 

 

ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานได้มีประชาชนที่เดินทางมาจากทุกภาคและในกทม.เต็มความจุอัฒจันทร์ โดยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ต่างเดินทักทาย และถ่ายรูปกับประชาชนที่ถือป้ายไฟส่งเสียงต้อนรับว่าที่ผู้สมัครอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีศิลปินดารา กลุ่มนางงาม,นายแบบ,อินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายอาชีพ ,LGBTQ,กลุ่มนักแข่งเกมส์ อีสปอร์ต มาร่วมรับฟังนโยบายของพรรค พปชร.ด้วย

‘เอ๋ ชนม์สวัสดิ์’ ฮีทสโตรก หมดสติ ขณะซ้อมแข่งรถ ที่สนามบุรีรัมย์ ถูกหามส่งรพ.ด่วน ‘อนุทิน’ รุดเยี่ยม

วันที่ 31 มี.ค.2566  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และนักธุรกิจชื่อดัง ได้ถูกนำตัวส่ง รพ.บุรีรัมย์อย่างเร่งด่วน ด้วยอาการฮีทสโตรก หรือ โรคลมแดด เนื่องจากอากาศร้อนจัด ขณะซ้อมแข่งรถยนต์ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อเตรียมแข่งขันในเดือนหน้า ขณะนี้รักษาตัวอยู่ในห้อง ไอซียู.อาคารเฉลิมพระเกียรติ รพ.บุรีรัมย์ โดยมีทีมงานและผู้บริหารของทางสนาม เดินทางมาเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ส่วนครอบครัวและญาติกำลังอยู่ระหว่างเดินทาง

นพ.ภูวดล กิตติวัฒนาสาร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ให้ข้อมูลว่า คนไข้ได้ถูกส่งตัวเข้ามารักษาที่ รพ. ด้วยอาการหมดสติ คาดว่าน่าจะเกิดอาการฮีทสโตรก เนื่องจากภาวะอากาศร้อนจัด ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาสาเหตุ และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ตอนนี้รู้สึกบ้างไม่รู้สึกตัวบ้าง ซึ่งแพทย์ก็ทำการรักษาอย่างเต็มที่

สำหรับโรคฮีตสโตรก หรือลมแดด เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป จนทำให้ความร้อนในร่างกาย (core temperature) สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาการที่พบได้เบื้องต้น ได้แก่ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน วิตกกังวล สับสน ปวดศีรษะ ความดันต่ำ หน้ามืด ไวต่อสิ่งเร้าง่าย และยังอาจมีผลต่อระบบไหลเวียน ซึ่งอาจมีอาการเพิ่มเติมอีก ได้แก่ ภาวะขาดเหงื่อ, เพ้อ, ชัก, ไม่รู้สึกตัว, ไตล้มเหลว, หายใจเร็ว, หัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจเกิดอาการช็อคหมดสติ และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

เมื่อเวลา 21.26 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายชนม์สวัสดิ์ ถูกหามส่งโรงพยาบาลบุรีรัมย์ โดยอาการฮีทสโตรก ว่า ขณะนี้ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลบุรีรัมย์ ยังไม่ได้ส่งตัวเข้ามากรุงเทพมหานคร ตามกระแสข่าวลือ

เมื่อถามว่า นายชนม์สวัสดิ์ รู้สึกตัวหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตอนนี้ ใช้หมอหัวใจ ดูอยู่ใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ตนก็ดูอยู่อย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีสัมพันธ์ เป็นพ่อดองกันด้วย

ล่าสุดในโซเชี่ยล ได้มีบรรดานักแข่งรถ คนในวงการทั้งธุรกิจและการเมืองโพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความเสียใจต่อการจากไปอย่างกะทันหันของ เอ๋ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม แล้ว

พร้อมเป็นนายกฯ ‘หมอวรงค์’ ส่ง ส.ส. ลงศรีสะเกษ ครบทั้ง 9 เขต

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี จรยุทธ์จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวานนี้ ( 31 มี.ค.) เพื่อเปิดตัว 9 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พร้อมปราศรัยนโยบายพรรค

 

นพ.วรงค์ กล่าวว่า ไทยภักดีมาด้วยหัวใจ บุกหาประชาชนในพื้นที่หมู่บ้าน เพื่อนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาภาระค่าครองชีพ ปลดหนี้เกษตรกรภายใน 3 ปี ไทยภักดีเป็นพรรคเดียวที่จะทำให้ค่าไฟฟ้าเหลือหน่วยละ 2.50 บาท ค่าแก๊สหุงต้ม ถังละ 250 บาท ปุ๋ยยูเรียกระสอบละ 750 บาท อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเดือนละ 100 บาท เพราะไทยภักดีจะสู้กับทุนผูกขาด ปฏิวัติโครงสร้างการผลิตพลังงานครั้งใหญ่ ด้วยการผลักดันนโยบายปลูกพืชพลังงาน เพื่อผลิตไฟฟ้า แก๊สหุงต้ม ปุ๋ยยูเรียราคาถูก โดยรัฐรับประกันกำไร 10,000-14,000 บาท/ไร่/ปี

 

นพ.วรงค์ กล่าวว่า นโยบายพืชพลังงาน รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนและสามารถสร้างรายได้ ลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ยืนยันไม่ใช่การขายฝัน แต่เป็นเรื่องของนวัตกรรมเทคโนโลยีที่พรรคไทยภักดีมี ซึ่งการจะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้คนศรีสะเกษต้องลุกขึ้นสู้ ปฏิวัติประชาชนด้วยคูหาเลือกตั้ง กาพรรคไทยภักดีทั้ง 2 ใบ โดยตนพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นจริง

 

ทั้งนี้พรรคไทยภักดีส่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ ครบทุกเขต ประกอบด้วย

เขต 1 นายประเสริฐ วังเวียง

เขต 2 นายศักดา พลพศักดิ์

เขต 3 นายไพบูลย์ สะอาด

เขต 4 นายภูมินันท์ กัญญาบุตรเขต

5 นายสังวาลย์ นันทวงษ์

เขต 6 นาง วรรณรวี สอนพูด

เขต 7 นายฉลองชัย สมศรี

เขต 8 นายธวัชชัย ไชยมณี

เขต 9 นายยศพนธ์ ศรีใสย์


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. Esan Time Thailand
Take Me Top